**อย่าเอาไข่ทุกฟองใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว **
กระจายความเสี่ยงในการลงทุน (Diversification) คือหนึ่งในหลักการสำคัญของการลงทุนที่นักลงทุนทั่วโลกยึดถือ เพราะเป็นการช่วยลดโอกาสในการขาดทุนหนักหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง
- กลยุทธ์ที่ไม่เอาเงินทั้งหมดไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว หรือบริษัทเดียว
- เลือกลงทุนในสินทรัพย์หรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน เช่น หุ้นหลายกลุ่ม, กองทุนต่างประเทศ, ตราสารหนี้, ทองคำ ฯลฯ
- หากมีสินทรัพย์บางประเภทที่ผลตอบแทนไม่ดี หรือเกิดเหตุการณ์ผิดปกติเฉพาะเจาะจง เงินลงทุนส่วนอื่นยังคงมีโอกาสสร้างผลตอบแทน หรือหยุดความเสียหายโดยรวมของพอร์ตลงทุนได้
ตัวอย่างการกระจายความเสี่ยง
เช่น:
- ลงทุนในหุ้น 5 ตัว คนละอุตสาหกรรม แทนที่จะใส่เงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว
- แบ่งเงินบางส่วนไปลงทุนในตราสารหนี้ พันธบัตร กองทุนอสังหา ทองคำ หรือสินทรัพย์ทางเลือก
- ลงทุนในตลาดต่างประเทศบ้าง ไม่ใช่เฉพาะตลาดหุ้นไทย
ประโยชน์ของการกระจายความเสี่ยง
- ลดโอกาสขาดทุนหนักจากเหตุการณ์รุนแรงที่กระทบแค่บางกลุ่ม
- เสถียรภาพของพอร์ตการลงทุนดีขึ้น ผลตอบแทนโดยรวมสม่ำเสมอ
- ทำให้นักลงทุนมีโอกาสเจอ “โอกาสดี” ในกลุ่มหรือสินทรัพย์ที่เติบโตแทน
ข้อควรระวัง
- กระจายออกไปมากเกินไป อาจทำให้ผลตอบแทนโดยรวมลดลง เพราะพอร์ตมีแต่ของเฉลี่ยค่า
- ต้องเข้าใจและศึกษาสินทรัพย์ที่ลงทุนอย่างดี แม้จะแค่ “กระจาย” ก็ต้องรู้พื้นฐาน
สุดท้าย วิธีนี้ใช้ได้ดี ถ้ามี เงินมากพอ ในการกระจาย