เงินเก็บเอาไว้ไหนดี? สด ออม หุ้น หรือ ทองคำ?
ยุคนี้จะเก็บเงินไว้ใต้หมอนไม่ได้แล้วนะครับพี่! เพราะเงินไม่ได้งอกขึ้นเอง (เว้นแต่ว่าหมอนเราปลูกต้นเงินต้นทองไว้ )
ถึงเวลาแล้วที่ต้องวางแผนว่าจะแบ่งเงินไปไว้ตรงไหนถึงจะเกิด “Value Creation” แบบจริงจัง และไม่โดนเงินเฟ้อกัดทีละนิด ๆ เหมือนปลากัดในโหล
1. เงินสด – สะดวก แต่เสี่ยงพุงยุบ
เงินสดเปรียบเสมือนแฟนเก่า…สบายใจเวลามี แต่พอเวลาผ่านไป มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่
ข้อดี: ใช้ง่าย ฉุกเฉินแค่ไหนก็เอาออกมาได้ทันที
ข้อเสีย: ไม่มีดอกเบี้ย เงินเฟ้อมาทีละ 2-3% ต่อปี เงินหายวับเหมือนมายากล
เหมาะกับ: เอาไว้เผื่อฉุกเฉินแค่ 3-6 เดือนก็พอ เหมือนมีเสื้อกันฝนติดกระเป๋า ไม่ได้ใช้ทุกวัน แต่ต้องมี
2. ฝากออมทรัพย์ – ปลอดภัย แต่โตช้ากว่าไม้ประดู่
ออมทรัพย์เหมือนคนดีที่แม่รัก…แต่มาช้าไปนิด
ข้อดี: เงินไม่หาย ได้ดอกเบี้ยนิดหน่อยพอเป็นกำลังใจให้ชีวิต
ข้อเสีย: ดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี…คือจะเอาไปซื้อหมูปิ้งยังไม่พอไม้
เหมาะกับ: เงินที่ต้องใช้ใน 6-12 เดือนข้างหน้า เช่น ค่าเทอม ค่าซ่อมรถ หรือเงินที่ไว้ให้แม่บ่นว่า “ดีจังลูกฉันมีเก็บบ้าง”
3. หุ้น – เสี่ยงแต่แซ่บ
ลงทุนหุ้นก็เหมือนเล่นรถไฟเหาะ…กรี๊ดตอนขึ้น กรี๊ดดังกว่าตอนลง
ข้อดี: ผลตอบแทนสูง ถ้าศึกษาดีๆ มีสิทธิ์โตได้แบบก้าวกระโดด
ข้อเสีย: ความเสี่ยงสูง ยิ่งไม่รู้ ยิ่งเจ็บแรง เหมือนจีบคนหล่อแต่เค้ามีแฟนแล้ว
เหมาะกับ: คนที่มีเวลาเรียนรู้ และพร้อมรับความผันผวน มีจิตใจแกร่งระดับไททัน
4. ทองคำ – หล่อเงา แต่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ
ทองคำเหมือนเพื่อนสนิทที่หายไปนานแต่พอเจอกันอีกทีก็รวยขึ้นเฉย
ข้อดี: ป้องกันเงินเฟ้อได้ดี ระยะยาวราคามีแนวโน้มขึ้น
ข้อเสีย: ราคาผันผวน ไม่สร้างกระแสเงินสด (ไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีปันผลจ้า)
เหมาะกับ: คนที่อยากกระจายความเสี่ยง อยากมีอะไรวิ้งๆ ไว้ในพอร์ต ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่ง หรือ ETF ทอง
แล้วสรุปว่า…จะเก็บเงินไว้ไหนอ่ะ?
“กระจายความเสี่ยง คือคำตอบของโลกการเงินยุคใหม่”
ให้คิดแบบนี้ครับ:
- เงินสด: ไว้ 10-20% เผื่อฉุกเฉิน
- ออมทรัพย์/เงินฝาก: 20-30% สำหรับเป้าหมายระยะสั้น
- หุ้น: 30-50% สำหรับการเติบโต
- ทองคำ/สินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ: 10-20% กันเหนียว
สุดท้าย…จำไว้นะครับว่า “เงินมันไม่หายไปไหน มันแค่เปลี่ยนเจ้าของ”
อย่าให้เป็นเราที่โดนเปลี่ยนบ่อยเกินไป
ใครยังไม่เริ่ม…เริ่มเลยวันนี้ วันหน้าจะได้บอกว่า “ดีนะ ที่วันนั้นลงมือ” ไม่ใช่ “รู้งี้…เก็บทองตอนบาทละสองหมื่นก็ดี!”