เดือด! ทรัมป์และอีลอน มัสก์ แตกหัก เปิดศึกวิวาทะร้อนแรงรอบใหม่

อัปเดตล่าสุด: ความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยี อีลอน มัสก์ ได้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายได้เปิดฉากโจมตีกันอย่างดุเดือดผ่านโซเชียลมีเดียและสื่อต่างๆ ประเด็นขัดแย้งหลักเริ่มต้นจากร่างกฎหมายงบประมาณฉบับใหม่ของรัฐบาลทรัมป์ ก่อนจะบานปลายไปสู่การขู่ตัดผลประโยชน์ทางธุรกิจและการสาดโคลนเรื่องส่วนตัว

#ชนวนเหตุสำคัญของความขัดแย้งครั้งนี้คือ >> #ร่างกฎหมายงบประมาณฉบับใหญ่ (dubbed the “One Big Beautiful Bill Act”) ที่เสนอโดยรัฐบาลทรัมป์ อีลอน มัสก์ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ร่างกฎหมายนี้อย่างรุนแรง โดยเรียกมันว่าเป็น “ความน่ารังเกียจที่น่าขยะแขยง” (a disgusting abomination) เขาให้เหตุผลว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะทำให้หนี้สาธารณะของประเทศพุ่งสูงขึ้นมหาศาล

คำวิจารณ์ที่รุนแรงของมัสก์ได้จุดชนวนให้ทรัมป์ออกมาตอบโต้อย่างเกรี้ยวกราด โดยทรัมป์กล่าวหาว่าสาเหตุที่แท้จริงที่มัสก์ไม่พอใจร่างกฎหมายนี้เป็นเพราะมีการ #ตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV tax credits) ซึ่งเป็นผลประโยชน์โดยตรงต่อบริษัท Tesla ของมัสก์

จากจุดเริ่มต้นดังกล่าว การโต้เถียงได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นประเด็นร้อนที่สื่อทั่วโลกจับตามอง โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้:

#ทรัมป์ขู่ตัดสัญญาและเงินอุดหนุนจากรัฐบาล: ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความขู่ว่าจะยกเลิกสัญญาทุกฉบับและเงินอุดหนุนที่รัฐบาลมอบให้กับบริษัทของมัสก์ ทั้ง SpaceX และ Tesla ซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่าจะเป็นการประหยัดงบประมาณของประเทศ

#มัสก์ทิ้งไพ่เด็ด “ไฟล์เอปสไตน์”: ในการตอบโต้ที่สร้างความสั่นสะเทือน มัสก์ได้อ้างว่าชื่อของโดนัลด์ ทรัมป์ ปรากฏอยู่ใน ไฟล์เอกสารของเจฟฟรีย์ เอปสไตน์ ที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ พร้อมชี้ว่านี่อาจเป็นเหตุผลที่เอกสารดังกล่าวถูกเก็บไว้

#สงครามคำพูดและการกล่าวอ้าง: มัสก์อ้างว่าหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากเขา ทรัมป์อาจพ่ายแพ้การเลือกตั้งที่ผ่านมา ขณะที่ทรัมป์ก็สวนกลับว่ามัสก์มี “อาการเกลียดทรัมป์” (Trump derangement syndrome) และ “เสียสติ” (went CRAZY)

ผลกระทบต่อตลาดหุ้น: การทะเลาะวิวาทครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อราคาหุ้นของ Tesla ซึ่งดิ่งลงอย่างหนัก สร้างความเสียหายต่อมูลค่าตลาดของบริษัทเป็นอย่างมาก
ความขัดแย้งครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการสิ้นสุดลงของความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างสองบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก และได้ขยายวงกว้างไปสู่การตั้งคำถามถึงอนาคตทางธุรกิจของมัสก์ที่ต้องพึ่งพาสัญญาจากรัฐบาล รวมถึงทิศทางการเมืองของสหรัฐฯ ที่ทั้งสองเคยมีผลประโยชน์ร่วมกันมาก่อน สถานการณ์ล่าสุดยังคงตึงเครียดและเป็นที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด



4 Likes

สร้างกระแสให้ราคาหุ้นและ คริปโตล่วง แล้วช้อน กลยุทธ์ของคนเงินหนา ใช่มั้ย ??


วันนี้เปิดเขียวเลยครับ

Drama ปั่นหุ้นระดับโลก?

1 Likes